วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

น้ำมัน Shell Tonna 32,46,68 ติดต่อ 087-6086771

                                                                 

 Tonna S2 M 32
 Tonna S2 M 46
 Tonna S2 M 68
 Tonna S2 M220

คุณสมบัติ
น้ำมันหล่อลื่นรางแท่น (Slideway) โดยเฉพาะ มีคุณสมบัติป้องกันการสะดุดลื่น (Anti-Stick-Slip) จึงให้ความแม่นยำสูงในการเคลื่อนที่ ให้การหล่อลื่นป้องกันการสึกหรอและป้องกันการสึกหรอให้แก่ Slideway ได้อย่างดี มีคุณสมบัติยึดติดกับรางแท่นได้ดี และแยกตัวจากน้ำได้ดีจึงไม่รวมกัวหรือถูกน้ำมันหล่อเย็นชนิดผสมน้ำชะออกได้ง่าย ผ่านมาตรฐาน ISO/DIS 6743-13

การใช้งาน
ใช้หล่อลื่นรางแท่นหรือ Slideway ของเครื่องจักรตัดกลึงโลหะ สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งกับน้ำมันตัดกลึงโลหะชนิดน้ำมันล้วน และชนิดผสมน้ำสำหรับงานหล่อลื่นในแนบระนาบ เซลล์ทอนน่า ที 32 และ 68 ยังสามารถเป็นน้ำมันไฮดรอลิคในเครื่อวจักรที่รวมระบบหล่อลื่นรางแท่นและไฮดรอลิคได้ด้วย สำหรับงานหล่อลื่นในแนวระนาบ ควรใช้เซลล์ทอนน่า ที 32 หรือ ที 68 และสำหรับงานหล่อลื่นในตั้ง ควารใช้เซลล์ทอนน่า ที 220

น้ำมันกันสนิม ราคาถูก ยี่ห้อ Castrol ติดต่อ 087-6086771



                                                    Castrol  Rustilo DWX 22  6 เดือน
                                                    Castrol  Rustilo DWX 30  3 เดือน
                                                    Castrol  Rustilo DWX 32  12 เดือน


   คาสตรอล Rustilo DWX 22,32,30
ลักษณะ คาสตรอล Rustilo ™ DWX 22  เป็นตัวทำละลายที่มีประสิทธิภาพต่อการกัดกร่อนฝากป้องกันด้วย dewatering ที่ยอดเยี่ยม สรรพคุณ ตัวทำละลายหลังจากการระเหยใบบางเฉียบฟิล์มป้องกันเลี่ยน
Rustilo DWX 22 อย่างรวดเร็วเอาน้ำจากส่วนประกอบภายหลังจากกระบวนการชุบโลหะหลังจากที่เครื่องจักรกล การใช้ของเหลวที่ละลายน้ำตัดหรือชิ้นส่วนที่ได้รับการล้าง ฟิล์มที่เหลือบางมากให้สื่อที่มีประสิทธิภาพ การป้องกันในระยะต่อการกัดกร่อนระหว่างการเก็บรักษาหรือการขนส่งกลาง Rustilo DWX 22 นี้ยังสามารถใช้เป็นสารหล่อลื่นที่อ่อนกดการทำงานที่ป้องกันการกัดกร่อนได้โดยไม่ต้องต่อไป การรักษาจะต้อง แม้ว่า Rustilo DWX 22 สามารถนำมาใช้โดยการแปรงฟันหรือพ่นกระทำ dewatering ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดถ้า บทความที่ได้รับการคุ้มครองสามารถแช่อยู่ในถังแช่
ข้อดี 
แทนที่น้ำที่ดีเยี่ยมและการเจาะคุณสมบัติ - สามารถใช้สำหรับการแทนที่น้ำจากมากที่สุด ประกอบกับการที่ซับซ้อนน้อยกว่าปกติครั้งจุ่ม • รูปแบบที่บางเฉียบฟิล์มได้ซึ่งไม่รบกวนการทำงานของมาตรวัดอากาศหรือการวัดแสงอาละวาด อุปกรณ์ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถูกลบออกจากส่วนประกอบที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบ • ได้อย่างมีประสิทธิภาพยับยั้งการกัดกร่อนลายนิ้วมือบนเหล็กสดใสและชิ้นส่วนโลหะในระหว่างการดำเนินการเสร็จสิ้นประณีต การผลิต • มีความมั่นคงสูงต่อการปนเปื้อนที่เป็นกรดและด่างช่วยให้การอาบน้ำเป็นเวลานานยาวนาน- • เวลาอบแห้งต่ำรับประกันระดับการผลิตสูง • ประหยัดในการสมัครผ่านการรายงานข่าวภาพยนตร์ขนาดใหญ่ • เข้ากันได้กับน้ำมันแร่; คือการป้องกันที่เหมาะสมสำหรับชิ้นส่วนของระบบไฮดรอลิ • ความต้านทานที่ดีที่จะช่วยให้การประยุกต์ใช้ emulsification speeded up โดยกวน (เช่นสำหรับกระเช้าขนาดใหญ่ของ ชิ้นส่วนขนาดเล็ก) หรือ dewatering องค์ประกอบด่าง degreased กับสารตกค้างขั้นต่ำของการล้างน้ำ
ข้อมูลสมาชิกเพิ่มเติม 
เรียกร้องเกี่ยวกับความหนาของฟิล์มและการบริโภคที่เป็นค่าเฉลี่ย เหล่านี้เป็นที่ถูกต้องสำหรับพื้นผิวเรียบ ด้วยความดีลักษณะท่อระบายน้ำออกและรูปทรงเรขาคณิตที่เรียบง่ายโดยไม่ต้องมีหลุมหรือซุ้ม • เวลาอบแห้งเฉลี่ยอยู่ที่เวลาจนกว่าส่วนใหญ่ของตัวทำละลายจะระเหยที่อุณหภูมิห้องและ ความชื้น 60-70% ป้องกันการกัดกร่อนเต็มรูปแบบจะเพิ่งจะให้เมื่อตัวทำละลายเป็น ระเหยจนหมด • "การจัดเก็บในร่ม" อธิบายถึงการจัดเก็บข้อมูลของชิ้นส่วนเหล็กที่ปิดร้านค้าในห้องที่มีญาติ ความชื้น 60% เพิ่มขึ้นครั้งการป้องกันจะประสบความสำเร็จเมื่อการรักษาพื้นผิวสำเร็จรูปหรือจัดเก็บ ส่วนในแพ็คที่ปิดสนิท • "การจัดเก็บกลางแจ้ง" อธิบายถึงการจัดเก็บข้อมูลที่เปิดอยู่ซึ่งถือว่าการป้องกันจากองค์ประกอบหลักโดย ผ้าใบกันน้ำหรือรูปแบบอื่น ๆ ของปก • อิทธิพลของอุณหภูมิที่อาจก่อให้เกิดเมฆบางอย่างที่สามารถย้อนกลับและไม่ได้มีผลกระทบต่อ คุณภาพของผลิตภัณฑ์ • ถ้าฟิล์มป้องกันที่จำเป็นของ Rustilo DWX 22 สามารถจะลบออกโดยใช้ตัวทำละลายปิโตรเลียมหรือ ทำความสะอาดกระบวนการอัลคาไลน์ที่มีอยู่ทั้งหมดจากคาสตรอล

จำหน่ายน้ำมัน iRPC ติดต่อ 087-6086771 บริการจัดส่งฟรี


IRPC AW Hydrolic 32         200 l.
IRPC AW Hydrolic 46         200l.
IRPC AW Hydrolic 68         200 l.


น้ำมันหล่อลื่นกลุ่มอุตสาหกรรมแบ่งย่อยลงไปเป็นประเภทต่างๆ ต่อไปนี้
Industrial Gear Oil น้ำมันหล่อลื่นเกียร์อุตสาหกรรม
มาตรฐาน U.S. Steel 224, AGMA 250.04, DIN 51517 Part 3 เป็นน้ำมันหล่อลื่นสำหรับห้องเกียร์อุตสาหกรรมคุณภาพสูง ผสมสารเพิ่มคุณภาพสำหรับรับแรงกดสูงโดยเฉพาะ จึงสามารถรับแรงกดได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับหล่อลื่นเกียร์ในระบบปิดทั่วไปที่รับแรงกดสูงและแรงกระแทก (Shock Load) ใช้ได้ทั้งระบบหล่อลื่นแบบอ่าง และแบบปั๊มฉีดพ่น โดยมีเบอร์ความหนืดให้เลือกดังนี้ ISO VG 68, 100, 150, 220, 320, 460 
Hydraulic Oil น้ำมันไฮดรอลิค
มาตรฐาน DIN 51524 Part 2, Denison HF-0 เป็นน้ำมันหล่อลื่นสำหรับระบบไฮดรอลิกในงานอุตสาหกรรมทั่วไป เช่น ปั๊มขึ้นรูปโลหะ ไม้อัด ฉีดพลาสติก และเครื่องจักรประเภทอื่นๆ ที่ต้องการน้ำมันหล่อลื่นประเภทป้องกันการสึกหรอ โดยมีเบอร์ความหนืดให้เลือก ดังนี้ ISO VG 32, 46, 68, 100, 150, 220, 320

Turbine Oil น้ำมันหล่อลื่นเทอร์ไบน์
มาตรฐาน Solar Turbines ES9-224, DIN 51524 Part 1, Denison HF-1 เป็นน้ำมันหล่อลื่นเครื่องเทอร์ไบน์ มีส่วนผสมของสารที่ป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนที่อุณหภูมิสูง ช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น มีสารป้องกันการเกิดสนิม และสามารถแยกตัวออกจากน้ำได้ดี เหมาะสำหรับหล่อลื่นในส่วนต่างๆ เช่น แบริ่ง เกียร์และระบบควบคุมของเครื่องเทอร์ไบน์ ทั้งระบบขับด้วยน้ำและขับด้วยไอน้ำ โดยมีเบอร์ความหนืดให้เลือก ดังนี้ ISO VG 32, 46, 68, 100, 150, 220

Air Compressor Oil น้ำมันหล่อลื่นคอมเพรสเซอร์
มาตรฐาน DIN 51506 VDL เป็นน้ำมันหล่อลื่นเครื่องอัดอากาศคุณภาพสูง มีส่วนผสมของสารเพิ่มคุณภาพที่ช่วยต้านทานการรวมตัวกับออกซิเจนในอากาศ สามารถทนความร้อนได้สูง ช่วยป้องกันการเกิดสนิม  เขม่า และต้านทานการเกิดฟอง  เหมาะสำหรับเครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ทั้งที่ติดอยู่กับที่ และแบบเคลื่อนย้ายได้ที่ใช้ ในโรงงานทั่วไป เช่น โรงงานผลิตขวด โรงงานประกอบรถยนต์ โดยมีเบอร์ความหนืดให้เลือก ดังนี้ ISO VG 32, 46, 68, 100

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ลวด W/C ทองเหลือง




ลวดวายคัต Brass EDM Wire
       AEC ทำให้การแข่งขั้นทางธุรกิจไม่ได้เกิดกับบริษัทในประเทศเพียงอย่างเดียว AEC ยังทำให้เราต้องแข่งกับประเทศ AEC ด้วยกันอีกด้วย ทำให้เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาโรงงานของเราให้ทันต่อการเปิดประเทศอีกด้วย
       ในยุโรปและอเมริการ ต่อมาก็ญี่ปุ่นและอินเดีย มีลวดที่ใช้กับเครื่องวายคัตจะเป็นลวด coated wire ทั้งสิ้น  โดยลวด coated wire นี้ ผลิตออกมาหลายชนิดเพื่อให้เหมาะสมกับงาน ความหนา ผิวงาน ลักษณะการตั้งค่าไฟของเครื่อง wire cut แต่ละรุ่นเครื่องและแต่ละยี่ห้อของเครื่องวายคัตอีกด้วย
สาเหตุที่ต้องเลือกลวดให้เหมาะสมกับลักษณะดังกล่าว พอสรุปเป็นสังเขปได้ดังนี้
1) เพื่อให้ลวดสามารถนำกระแสไฟฟ้าได้เหมาะสมกับชิ้นงาน เช่น
ชิ้นงานเป็นทองแดง ลวดที่นำมาตัดควรเป็นทองเหลือง
ชิ้นงานที่เป็นเหล็กเกรด ลวดที่นำมาตัดความเป็นลวดทองแดง
       เพราะทองแดงนำกระแสไฟฟ้าได้ดีกว่าทองเหลือง ดังนั้นถ้าชิ้นงานที่นำมาตัดเป็นเหล็ก ถ้าเราใช้ลวดทองเหลืองตัด กับใช้ลวดทองแดงตัด แน่นอน ความเร็วที่ได้ย่อมต่างกัน ผิวงานที่ได้ย่อมเรียบต่างกัน

       ลวดโดยทั่วไปจะมีส่วนผสมของ Cu และ ZN   โดย Cu จะเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าที่ดี ดังนั้นลวดที่มี Cu มากจะกินชิ้นงานได้เร็วและเรียบกว่าลวดที่มี Cu น้อย 
       นอกจากชิ้นงานเป็นทองแดงและเหล็กแล้วยังมีชิ้นงานประเภท carbide, aluminum, graphite ก็จะนำไฟฟ้าแตกต่างกัน ลวดที่นำมาตัดก็จะแตกต่างกันออกไป
     2. เลือกลวดให้เหมาะสมกับความหนาและ Taper องศาของงาน ส่วนสำคัญอีกอย่างที่ควรทราบสำหรับการเลือกลวดคือ tensile strength
       ในเบื้องต้น tensile strength จะถูกระบุจากเครื่องจักรมาแล้ว เช่น เครื่องจากยุโรป เช่น Charmilles,Agie ลวดที่ใช้มาตรฐานจะต้องมีค่า tensile อยู่ที่ 510 N/mm2  สำหรับเครื่องญี่ปุ่นหรือผลิตตามมาตรฐาน JIS จะมีค่า tensile strength มาตรฐานอยู่ที่ 980N/mm2 (100 Kg/mm2)
ลวด wire cut ในบ้านเราที่มีขายพอจะแบ่งได้ 4 ชนิด ดังนี้
      ชนิดของลวด Wire Cut                   Tensile Strangth
(S)     Soft                                           390 – 490 N/mm2
(SH)   Simi Hard                                  491 – 700 N/mm2
(H)     Hard                                                 900 N/mm2
(SPE) Special (Elongation mm 2%)           900 N/mm2
Taper    Highest           Cutting Rate at workpiece height of
            Precision               <150mm.               >150 mm.
<7          SH,H,SPE          SH,H,SPE             H,SPE
8 – 20    SH,S                   S, SH                     SH,H
>20        SS                       SH,H                      SH,H

3. ความเหมาะสมกับเครื่องจักร
       ในการ set กระแสไฟฟ้าของเครื่องจักร (Condition ของเครื่อง) สามารถตั้งกระแสไฟตามประเภทของลวดแต่ละชนิดได้กัน  ดังนั้นบางครั้งเราจะพบว่า การตัดงานชิ้นเดียวกันแต่ใช้ลวดคนละชนิดกันจะมีความแตกต่างกันทั้งความเร็ว,ควมมละเอียด,ขนาดของชิ้นงาน ถึงแม้จะเป็นลวดทองเหลืองเหมือนกัน
       ในยุโรปจะมีลวดที่ใช้กันทั่วไป โดยจะเป็นลวด Coate Wire ซึ่งจะมีลวดให้เลือกตามความเหมาะสมกับชิ้นงาน Meterial และลักษณะงาน เช่น
1.  Cobra Cut     มีชนิด A, B, D, E, S
2.  Bronco Cut    มีชนิด X, HX
3.  Mega Cut      มีชนิด A, D, T, HS
4.  Brass Wire   
โดยลวดแต่ละชนิดดังกล่าวข้างต้น จะเหมาะสมกับชิ้นงานแต่ละชนิด  ซึ่งการเลือกใช้ลวดจะทำให้ตัดงานได้เร็วขึ้น ได้ผิวงานละเอียดขึ้น (ไม่จำเป็นต้องตัดงานหลายรอบ) สามารถควบคุมค่า Clearance ได้ดีกว่า  กล่าวคือลวดแต่ละชนิดจะมี
 Conductivity =    9m        แตกต่างกัน
การเลือกลวดให้เหมาะกับลักษณะงาน จะทำให้เราไม่จำเป็นต้องปรับความเร็วของการ feed เส้นลวด และไม่ต้องปรับแรงตึงลวด เพื่อป้องกันลวดขาด ในกรณีที่ตัดงานหนาหรือเพิ่มกระแสไฟเพื่อต้องการตัดงานเร็ว
       นอกจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น สิ่งที่ควรพิจารณาอีกประการคือผู้ผลิต เพราะปัจจุบันมีลวดขายอยู่หลายยี่ห้อ ทั้งเป็นยี่ห้อของโรงงานที่ผลิตเอง และเป็นยี่ห้อที่จ้างผลิตแล้วให้ตีตราแบรนด์เอง ดังนั้น ควรเลือกลวดที่มีมาตรฐานรองรับ เพราะกระบวนการในการผลิตที่มีมาตรฐานทำได้ยากมาก เช่น
       -การควบคุมขนาดของลวด Diameter to lerance ต้อง
มีค่า +/- 0.001 มม. และต้องสม่ำเสมอตลอดทั้งเส้น
       -Tensile Strength
       -Conductivity
       -การอบลวด และการอบน้ำยาที่มีคุณภาพ
       -ความยาวของลวด
       -
การใช้ลวดที่ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อใช้แล้วจะมีผลต่อตัวเครื่องจักรและชิ้นงาน
       -ควบคุมขนาดไม่ได้
       -ผิวงานไม่เรียบ
       -ลวดขาด
       -ชิ้นงานเป็นรอยไหม้
       -มีความเขม่าเกาะที่ชิ้นงาน
       -อะไหล่เครื่องจักรต้องเปลี่ยนเร็วขึ้น เช่น หัวไกด์ Diamond Guide,Conductivity หรือ Power feed Contact, โรลเลอร์ดึงลวด Roller เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ต้นทุนการผลิตชิ้นงานสูงขึ้น และได้งานไม่มีคุณภาพทำให้ราคาลดลง ถึงอาจจะต้องเสียเงินเสียเวลาทำชิ้นงานใหม่

                                                      

ลวดวายคัต Brass EDM Wire






ลวดวายคัต Brass EDM Wire
       AEC ทำให้การแข่งขั้นทางธุรกิจไม่ได้เกิดกับบริษัทในประเทศเพียงอย่างเดียว AEC ยังทำให้เราต้องแข่งกับประเทศ AEC ด้วยกันอีกด้วย ทำให้เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาโรงงานของเราให้ทันต่อการเปิดประเทศอีกด้วย       ในยุโรปและอเมริการ ต่อมาก็ญี่ปุ่นและอินเดีย มีลวดที่ใช้กับเครื่องวายคัตจะเป็นลวด coated wire ทั้งสิ้น  โดยลวด coated wire นี้ ผลิตออกมาหลายชนิดเพื่อให้เหมาะสมกับงาน ความหนา ผิวงาน ลักษณะการตั้งค่าไฟของเครื่อง wire cut แต่ละรุ่นเครื่องและแต่ละยี่ห้อของเครื่องวายคัตอีกด้วยสาเหตุที่ต้องเลือกลวดให้เหมาะสมกับลักษณะดังกล่าว พอสรุปเป็นสังเขปได้ดังนี้1) เพื่อให้ลวดสามารถนำกระแสไฟฟ้าได้เหมาะสมกับชิ้นงาน เช่นชิ้นงานเป็นทองแดง ลวดที่นำมาตัดควรเป็นทองเหลืองชิ้นงานที่เป็นเหล็กเกรด ลวดที่นำมาตัดความเป็นลวดทองแดง       เพราะทองแดงนำกระแสไฟฟ้าได้ดีกว่าทองเหลือง ดังนั้นถ้าชิ้นงานที่นำมาตัดเป็นเหล็ก ถ้าเราใช้ลวดทองเหลืองตัด กับใช้ลวดทองแดงตัด แน่นอน ความเร็วที่ได้ย่อมต่างกัน ผิวงานที่ได้ย่อมเรียบต่างกัน 
       ลวดโดยทั่วไปจะมีส่วนผสมของ Cu และ ZN   โดย Cu จะเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าที่ดี ดังนั้นลวดที่มี Cu มากจะกินชิ้นงานได้เร็วและเรียบกว่าลวดที่มี Cu น้อย
       นอกจากชิ้นงานเป็นทองแดงและเหล็กแล้วยังมีชิ้นงานประเภท carbide, aluminum, graphite ก็จะนำไฟฟ้าแตกต่างกัน ลวดที่นำมาตัดก็จะแตกต่างกันออกไป     2. เลือกลวดให้เหมาะสมกับความหนาและ Taper องศาของงาน ส่วนสำคัญอีกอย่างที่ควรทราบสำหรับการเลือกลวดคือ tensile strength
       ในเบื้องต้น tensile strength จะถูกระบุจากเครื่องจักรมาแล้ว เช่น เครื่องจากยุโรป เช่น Charmilles,Agie ลวดที่ใช้มาตรฐานจะต้องมีค่า tensile อยู่ที่ 510 N/mm2  สำหรับเครื่องญี่ปุ่นหรือผลิตตามมาตรฐาน JIS จะมีค่า tensile strength มาตรฐานอยู่ที่ 980N/mm2 (100 Kg/mm2)ลวด wire cut ในบ้านเราที่มีขายพอจะแบ่งได้ 4 ชนิด ดังนี้      ชนิดของลวด Wire Cut                   Tensile Strangth
(S)     Soft                                           390 – 490 N/mm2(SH)   Simi Hard                                  491 – 700 N/mm2(H)     Hard                                                 900 N/mm2(SPE) Special (Elongation mm 2%)           900 N/mm2 Taper    Highest           Cutting Rate at workpiece height of            Precision               <150mm.               >150 mm.<7          SH,H,SPE          SH,H,SPE             H,SPE8 – 20    SH,S                   S, SH                     SH,H>20        SS                       SH,H                      SH,H 3. ความเหมาะสมกับเครื่องจักร       ในการ set กระแสไฟฟ้าของเครื่องจักร (Condition ของเครื่อง) สามารถตั้งกระแสไฟตามประเภทของลวดแต่ละชนิดได้กัน  ดังนั้นบางครั้งเราจะพบว่า การตัดงานชิ้นเดียวกันแต่ใช้ลวดคนละชนิดกันจะมีความแตกต่างกันทั้งความเร็ว,ควมมละเอียด,ขนาดของชิ้นงาน ถึงแม้จะเป็นลวดทองเหลืองเหมือนกัน       ในยุโรปจะมีลวดที่ใช้กันทั่วไป โดยจะเป็นลวด Coate Wire ซึ่งจะมีลวดให้เลือกตามความเหมาะสมกับชิ้นงาน Meterial และลักษณะงาน เช่น1.  Cobra Cut     มีชนิด A, B, D, E, S
2.  Bronco Cut    มีชนิด X, HX
3.  Mega Cut      มีชนิด A, D, T, HS
4.  Brass Wire
โดยลวดแต่ละชนิดดังกล่าวข้างต้น จะเหมาะสมกับชิ้นงานแต่ละชนิด  ซึ่งการเลือกใช้ลวดจะทำให้ตัดงานได้เร็วขึ้น ได้ผิวงานละเอียดขึ้น (ไม่จำเป็นต้องตัดงานหลายรอบ) สามารถควบคุมค่า Clearance ได้ดีกว่า  กล่าวคือลวดแต่ละชนิดจะมี Conductivity =    9m        แตกต่างกันการเลือกลวดให้เหมาะกับลักษณะงาน จะทำให้เราไม่จำเป็นต้องปรับความเร็วของการ feed เส้นลวด และไม่ต้องปรับแรงตึงลวด เพื่อป้องกันลวดขาด ในกรณีที่ตัดงานหนาหรือเพิ่มกระแสไฟเพื่อต้องการตัดงานเร็ว       นอกจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น สิ่งที่ควรพิจารณาอีกประการคือผู้ผลิต เพราะปัจจุบันมีลวดขายอยู่หลายยี่ห้อ ทั้งเป็นยี่ห้อของโรงงานที่ผลิตเอง และเป็นยี่ห้อที่จ้างผลิตแล้วให้ตีตราแบรนด์เอง ดังนั้น ควรเลือกลวดที่มีมาตรฐานรองรับ เพราะกระบวนการในการผลิตที่มีมาตรฐานทำได้ยากมาก เช่น       -การควบคุมขนาดของลวด Diameter to lerance ต้องมีค่า +/- 0.001 มม. และต้องสม่ำเสมอตลอดทั้งเส้น       -Tensile Strength
       -Conductivity
       -การอบลวด และการอบน้ำยาที่มีคุณภาพ       -ความยาวของลวด       -การใช้ลวดที่ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อใช้แล้วจะมีผลต่อตัวเครื่องจักรและชิ้นงาน       -ควบคุมขนาดไม่ได้       -ผิวงานไม่เรียบ       -ลวดขาด       -ชิ้นงานเป็นรอยไหม้       -มีความเขม่าเกาะที่ชิ้นงาน       -อะไหล่เครื่องจักรต้องเปลี่ยนเร็วขึ้น เช่น หัวไกด์ Diamond Guide,Conductivity หรือ Power feed Contact, โรลเลอร์ดึงลวด Roller เป็นต้นสิ่งเหล่านี้จะทำให้ต้นทุนการผลิตชิ้นงานสูงขึ้น และได้งานไม่มีคุณภาพทำให้ราคาลดลง ถึงอาจจะต้องเสียเงินเสียเวลาทำชิ้นงานใหม่